บทความนี้ก็จะเขียนเกี่ยวกับวิธีการเช่าบ้านสำหรับชาวต่างชาติว่าต้องทำอะไรยัง วิธีการเลือกห้อง พร้อมแนะนำเว็บไซต์ในการหาห้องเช่า!
จะเช่าบ้านที่ญี่ปุ่นต้องทำอย่างไร ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ดี ?
■ ค่าใช้จ่ายแรกเริ่มเท่าไร?
เมื่อพูดถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายก่อนการเช่าห้องหลายคนอาจจะนึกถึงเพียงแค่ ค่าเช่ารายเดือน และก็ค่าแรกเข้าเท่านั้น
แต่ในการทำสัญญาเช้าห้องที่ญี่ปุ่นนั้นจะมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างและค่อนข้างพิเศษอยู่ และอาจทำให้งบประมาณสูงกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้มาก
โดยในการเช่าห้องที่ญี่ปุ่นเราต้องเตรียม
1.ชิคิคินหรือค่ามัดจำ (Shikikin - 敷金)
โดยจะคิดอยู่ที่ 1-2 เท่าของค่าเช่าห้อง เป็นเงินที่มัดจำเอาไว้สำหรับเป็นค่าทำความสะอาดหรือซ่อมแซมห้องสำหรับผู้ให้เช่า เงินก้อนนี้จะได้รับคืนส่วนหนึ่งเมื่อยกเลิกการเช่าห้อง
2.เรคินหรือค่าตอบแทน (Reikin - 礼金)
เป็นเงินที่มอบให้กับผู้ที่ให้เราเช่าบ้านเป็นธรรมเนียมที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากว่าช่วงนั้นบ้านเรือนมีไม่เพียงพอเพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าของที่ให้เราเช่าเราจึงมอบเงินนี้ให้ โดยจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 เท่าของค่าห้อง เงินนี้จะมาสามารถรับคืนได้ แต่บ้านที่ก็อาจจะไม่มีการเรียกรับเงินนี้
3.จูไกเทซูเรียวหรือค่านายหน้า (Chuukai Tesuuryou - 仲介手数料)
เป็นค่าตอบแทนให้กับนายหน้าของให้กับบริษัทจัดหาบ้านในการจัดหาห้องและทำสัญญา มักจะคิดค่าตอบแทนเท่ากับค่าเช่า 1 เดือน
4.ค่าโฮะโชนินหรือค่าผู้ค้ำประกัน (Hoshounin Hiyou - 保証人費用)
กรณีที่เราเป็นชาวต่างชาติเราจะต้องมีผู้ค้ำประกับเป็นชาวญี่ปุ่นด้วย นอกจากนี้ถ้าหากเราไม่มีผู้ค้ำประกันเราก็สามารถที่จะใช้บริการของบริษัทค้ำประกันได้ ค่าบริการจะอยู่ที่ประมาณ 50-120% ของค่าเช่าห้อง
5.คะไซโฮเคงหรือค่าประกันอุบัติภัย (Kasai Hoken - 火災保険)
นอกจากเราจะต้องจ่ายค่าประกันอุบัติเหตุกรณีที่เกิดความเสียหายกับห้องพักเช่น น้ำท่วม ไหม้ เป็นต้น ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 เยน/2 ปี
6.เปลี่ยนกุญแจ (Kagikoukan - 鍵交換費用)
เมื่อมีการเช่าห้องพักใหม่จะมีการเปลี่ยนกุญแจห้องเพื่อความปลอดภัย มีค่าใช้จ่ายราว 1-2 หมื่นเยน
7.ค่าต่อสัญญา (Koushinryou - 更新料)
สัญญาเช่าห้องโดยปกติจะทำทีละ 2 ปี หากต้องการอาศัยในห้องนั้นต่อจะต้องชำระค่าต่อสัญญา โดยมากแล้วจะคิดเท่ากับค่าเช่า 1 เดือน แต่อาจแตกต่างไปตามพื้นที่และลักษณะห้องได้
แต่ละสถานที่และห้องจะแตกต่างกันไป แต่โดยปกติแล้วมักจะมีค่าใช้จ่ายแรกเข้ารวมแล้วประมาณ 4-6 เท่าของค่าเช่าห้อง
เมื่อพูดถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายก่อนการเช่าห้องหลายคนอาจจะนึกถึงเพียงแค่ ค่าเช่ารายเดือน และก็ค่าแรกเข้าเท่านั้น
แต่ในการทำสัญญาเช้าห้องที่ญี่ปุ่นนั้นจะมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างและค่อนข้างพิเศษอยู่ และอาจทำให้งบประมาณสูงกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้มาก
โดยในการเช่าห้องที่ญี่ปุ่นเราต้องเตรียม
1.ชิคิคินหรือค่ามัดจำ (Shikikin - 敷金)
โดยจะคิดอยู่ที่ 1-2 เท่าของค่าเช่าห้อง เป็นเงินที่มัดจำเอาไว้สำหรับเป็นค่าทำความสะอาดหรือซ่อมแซมห้องสำหรับผู้ให้เช่า เงินก้อนนี้จะได้รับคืนส่วนหนึ่งเมื่อยกเลิกการเช่าห้อง
2.เรคินหรือค่าตอบแทน (Reikin - 礼金)
เป็นเงินที่มอบให้กับผู้ที่ให้เราเช่าบ้านเป็นธรรมเนียมที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากว่าช่วงนั้นบ้านเรือนมีไม่เพียงพอเพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าของที่ให้เราเช่าเราจึงมอบเงินนี้ให้ โดยจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 เท่าของค่าห้อง เงินนี้จะมาสามารถรับคืนได้ แต่บ้านที่ก็อาจจะไม่มีการเรียกรับเงินนี้
3.จูไกเทซูเรียวหรือค่านายหน้า (Chuukai Tesuuryou - 仲介手数料)
เป็นค่าตอบแทนให้กับนายหน้าของให้กับบริษัทจัดหาบ้านในการจัดหาห้องและทำสัญญา มักจะคิดค่าตอบแทนเท่ากับค่าเช่า 1 เดือน
4.ค่าโฮะโชนินหรือค่าผู้ค้ำประกัน (Hoshounin Hiyou - 保証人費用)
กรณีที่เราเป็นชาวต่างชาติเราจะต้องมีผู้ค้ำประกับเป็นชาวญี่ปุ่นด้วย นอกจากนี้ถ้าหากเราไม่มีผู้ค้ำประกันเราก็สามารถที่จะใช้บริการของบริษัทค้ำประกันได้ ค่าบริการจะอยู่ที่ประมาณ 50-120% ของค่าเช่าห้อง
5.คะไซโฮเคงหรือค่าประกันอุบัติภัย (Kasai Hoken - 火災保険)
นอกจากเราจะต้องจ่ายค่าประกันอุบัติเหตุกรณีที่เกิดความเสียหายกับห้องพักเช่น น้ำท่วม ไหม้ เป็นต้น ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 เยน/2 ปี
6.เปลี่ยนกุญแจ (Kagikoukan - 鍵交換費用)
เมื่อมีการเช่าห้องพักใหม่จะมีการเปลี่ยนกุญแจห้องเพื่อความปลอดภัย มีค่าใช้จ่ายราว 1-2 หมื่นเยน
7.ค่าต่อสัญญา (Koushinryou - 更新料)
สัญญาเช่าห้องโดยปกติจะทำทีละ 2 ปี หากต้องการอาศัยในห้องนั้นต่อจะต้องชำระค่าต่อสัญญา โดยมากแล้วจะคิดเท่ากับค่าเช่า 1 เดือน แต่อาจแตกต่างไปตามพื้นที่และลักษณะห้องได้
แต่ละสถานที่และห้องจะแตกต่างกันไป แต่โดยปกติแล้วมักจะมีค่าใช้จ่ายแรกเข้ารวมแล้วประมาณ 4-6 เท่าของค่าเช่าห้อง
■ วิธีการเช่าห้องพักในญี่ปุ่น
1.ค้นหาบ้านทเช่าจากเว็บไซต์ต่างๆ
2.เมื่อหาห้องที่ถูกใจจากเว็บไซต์ได้แล้วก็ไปทัวร์ห้องพัก โดยทางบริษัทที่เราติดต่อจะเป็นคนพาไป
3.หากเราเลือกห้องที่ถูกใจได้แล้วขั้นตอนต่อไปก็คือการกรอกเอกสารคำร้องขอเช่า 入居申込書 ให้แก่บริษัทจัดหาบ้าน รวมถึงต้องยื่นเอกสารแสดงเลขบัญชีธนาคาร เบอร์โทรศัพท์ และเอกสารยืนยันตัว ไซริวการ์ด
4. การคัดกรองใบสมัคร: ใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 7 วันในการตรวจสอบคุณสมบัติโดยเจ้าของ บริษัท อสังหาริมทรัพย์และบริษัทรับประกัน
1.ค้นหาบ้านทเช่าจากเว็บไซต์ต่างๆ
2.เมื่อหาห้องที่ถูกใจจากเว็บไซต์ได้แล้วก็ไปทัวร์ห้องพัก โดยทางบริษัทที่เราติดต่อจะเป็นคนพาไป
3.หากเราเลือกห้องที่ถูกใจได้แล้วขั้นตอนต่อไปก็คือการกรอกเอกสารคำร้องขอเช่า 入居申込書 ให้แก่บริษัทจัดหาบ้าน รวมถึงต้องยื่นเอกสารแสดงเลขบัญชีธนาคาร เบอร์โทรศัพท์ และเอกสารยืนยันตัว ไซริวการ์ด
4. การคัดกรองใบสมัคร: ใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 7 วันในการตรวจสอบคุณสมบัติโดยเจ้าของ บริษัท อสังหาริมทรัพย์และบริษัทรับประกัน
■ ห้องแต่ละแบบในญี่ปุ่น
ราคาค่าเช่าบ้านในญี่ปุ่นจะแตกต่างกันด้วยความสะดวกของที่ตั้งและระยะห่างจากสถานีรถไฟ
ถ้าอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟจะมีค่าเช่าอยู่ราว 80,000 เยนแต่ถ้าไกลออกมาอีกหน่อย จะอยู่ราว 60,000 เยน
ห้องที่ให้เช่ามีประเภทดังต่อไปนี้
- อพาร์ตเมนต์ (Apaato - アパート) หมายถึงอาคารโครงสร้างไม้ที่มี 1-2 ชั้น ไม่มีผู้ดูแลและไม่มีส่วนกลาง ความสามารถในการเก็บเสียง กันแผ่นดินไหว ความปลอดภัยด้อยกว่าอาคารแบบแมนชั่น แต่ค่าเช่าก็ถูกกว่าเช่นกัน เหมาะสำหรับผู้มีงบน้อย
- แมนชั่น (Manshon - マンション) หมายถึงอาคารโครงสร้างเหล็กและคอนกรีตตั้งแต่ 3 ชั้นขึ้นไป มีผู้ดูแล มีความปลอดภัยสูงกว่าอพาร์ตเมนต์ แต่ค่าเช่าก็สูงกว่าเช่นกัน
- บ้านเช่า (Kashiya - 貸家) หมายถึงบ้านเดี่ยวให้เช่า
เวลาหาห้องเช่าเรามักจะเจอคำว่า "2LDK" หรือ "3DK" และอื่นๆ มันหมายถึงอะไร มาดูกัน
L : ย่อมาจาก Living Room หมายถึงห้องนั่งเล่น/ห้องรับแขก
D : ย่อมาจาก Dining Room หมายถึงห้องอาหาร
K : ย่อมาจาก Kitchen หมายถึงห้องครัว
ส่วนตัวเลขหมายถึงจำนวนของห้อง เช่น 2LDK หมายถึงมีห้อง 2 ห้อง และมีห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องครัว ส่วน 3DK หมายถึงมีห้อง 3 ห้องกับห้องอาหารและห้องครัว
นอกจากนี้ยังมี R ย่อมาจาก Room หมายถึงห้องธรรมดา เช่น 2R จะหมายถึงมีห้องเปล่าๆ 2 ห้อง ยกเว้นในกรณีของ 1R นั้นมักจะหมายถึงห้องแบบสตูดิโอ คือมีพื้นที่สำหรับทำครัวอยู่ภายในห้องเลย
เทคนิคในการเลือกห้อง ตำแหน่งห้อง ขนาดห้องแบบญี่ปุ่น
อ้างอิง https://matcha-jp.com/th/4418
ราคาค่าเช่าบ้านในญี่ปุ่นจะแตกต่างกันด้วยความสะดวกของที่ตั้งและระยะห่างจากสถานีรถไฟ
ถ้าอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟจะมีค่าเช่าอยู่ราว 80,000 เยนแต่ถ้าไกลออกมาอีกหน่อย จะอยู่ราว 60,000 เยน
ห้องที่ให้เช่ามีประเภทดังต่อไปนี้
- อพาร์ตเมนต์ (Apaato - アパート) หมายถึงอาคารโครงสร้างไม้ที่มี 1-2 ชั้น ไม่มีผู้ดูแลและไม่มีส่วนกลาง ความสามารถในการเก็บเสียง กันแผ่นดินไหว ความปลอดภัยด้อยกว่าอาคารแบบแมนชั่น แต่ค่าเช่าก็ถูกกว่าเช่นกัน เหมาะสำหรับผู้มีงบน้อย
- แมนชั่น (Manshon - マンション) หมายถึงอาคารโครงสร้างเหล็กและคอนกรีตตั้งแต่ 3 ชั้นขึ้นไป มีผู้ดูแล มีความปลอดภัยสูงกว่าอพาร์ตเมนต์ แต่ค่าเช่าก็สูงกว่าเช่นกัน
- บ้านเช่า (Kashiya - 貸家) หมายถึงบ้านเดี่ยวให้เช่า
เวลาหาห้องเช่าเรามักจะเจอคำว่า "2LDK" หรือ "3DK" และอื่นๆ มันหมายถึงอะไร มาดูกัน
L : ย่อมาจาก Living Room หมายถึงห้องนั่งเล่น/ห้องรับแขก
D : ย่อมาจาก Dining Room หมายถึงห้องอาหาร
K : ย่อมาจาก Kitchen หมายถึงห้องครัว
ส่วนตัวเลขหมายถึงจำนวนของห้อง เช่น 2LDK หมายถึงมีห้อง 2 ห้อง และมีห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องครัว ส่วน 3DK หมายถึงมีห้อง 3 ห้องกับห้องอาหารและห้องครัว
นอกจากนี้ยังมี R ย่อมาจาก Room หมายถึงห้องธรรมดา เช่น 2R จะหมายถึงมีห้องเปล่าๆ 2 ห้อง ยกเว้นในกรณีของ 1R นั้นมักจะหมายถึงห้องแบบสตูดิโอ คือมีพื้นที่สำหรับทำครัวอยู่ภายในห้องเลย
เทคนิคในการเลือกห้อง ตำแหน่งห้อง ขนาดห้องแบบญี่ปุ่น
อ้างอิง https://matcha-jp.com/th/4418
■ เทคนิคในการเลือกห้อง ตำแหน่งห้อง ขนาดห้องแบบญี่ปุ่น
ห้องเช่าของญี่ปุ่นนั้นเกือบทั้งหมดเป็นห้องเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มาให้ ฉะนั้นหากเป็นห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์อยู่แล้ว ค่าเช่าจะสูงขึ้นอีก หากใครมีงบไม่มากและตั้งใจจะอยู่อาศัยระยะยาว เราขอแนะนำให้หาห้องเปล่าแล้วซื้อเฟอร์นิเจอร์เองดีกว่า
ส่วนใครที่กะว่าจะอยู่สักประมาณ 1 ปี แนะนำให้ลองหาห้องเช่าแบบแชร์เฮาส์หรือหาห้องแบบที่มีเฟอร์นิเจอร์อยู่แล้ว
ในการเลือกห้องก็มีเทคนิคอีกหลายอย่าง
อย่างแรกคือพยายามเลือกห้องที่อยู่ตรงมุมอาคาร (Kadobeya - 角部屋) เนื่องจากจะมีกำแพงฝั่งหนึ่งที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ช่วยลดปัญหาเรื่องเสียงรบกวนได้ ค่าเช่าอาจจะแพงขึ้นเล็กน้อย
ทิศทางของห้องที่นิยมในญี่ปุ่นคือห้องที่หันไปทิศใต้ (Minamimuki - 南向き) บางครั้งห้องที่หันไปทิศใต้อาจมีค่าเช่าแพงกว่าห้องที่หันทิศอื่นๆ ในชั้นเดียวกันถึง 2,000 เยนขึ้นไป สาเหตุของความนิยมนี้คือทิศนี้จะรับแสงแดดได้ดี ในเวลากลางวันอาจไม่ต้องเปิดไฟเลยทีเดียว เวลาซักผ้าก็แห้งเร็ว เหมาะสำหรับคนที่อยากอยู่อาศัยระยะยาว
บางห้องอาจระบุขนาดไว้เป็นแบบญี่ปุ่น คือ เรียกเป็นเสื่อ (ทาทามิ - 畳) ห้องขนาด 6 เสื่อหมายถึงห้องขนาด 10 ตารางเมตร
ห้องเช่าของญี่ปุ่นนั้นเกือบทั้งหมดเป็นห้องเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มาให้ ฉะนั้นหากเป็นห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์อยู่แล้ว ค่าเช่าจะสูงขึ้นอีก หากใครมีงบไม่มากและตั้งใจจะอยู่อาศัยระยะยาว เราขอแนะนำให้หาห้องเปล่าแล้วซื้อเฟอร์นิเจอร์เองดีกว่า
ส่วนใครที่กะว่าจะอยู่สักประมาณ 1 ปี แนะนำให้ลองหาห้องเช่าแบบแชร์เฮาส์หรือหาห้องแบบที่มีเฟอร์นิเจอร์อยู่แล้ว
ในการเลือกห้องก็มีเทคนิคอีกหลายอย่าง
อย่างแรกคือพยายามเลือกห้องที่อยู่ตรงมุมอาคาร (Kadobeya - 角部屋) เนื่องจากจะมีกำแพงฝั่งหนึ่งที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ช่วยลดปัญหาเรื่องเสียงรบกวนได้ ค่าเช่าอาจจะแพงขึ้นเล็กน้อย
ทิศทางของห้องที่นิยมในญี่ปุ่นคือห้องที่หันไปทิศใต้ (Minamimuki - 南向き) บางครั้งห้องที่หันไปทิศใต้อาจมีค่าเช่าแพงกว่าห้องที่หันทิศอื่นๆ ในชั้นเดียวกันถึง 2,000 เยนขึ้นไป สาเหตุของความนิยมนี้คือทิศนี้จะรับแสงแดดได้ดี ในเวลากลางวันอาจไม่ต้องเปิดไฟเลยทีเดียว เวลาซักผ้าก็แห้งเร็ว เหมาะสำหรับคนที่อยากอยู่อาศัยระยะยาว
บางห้องอาจระบุขนาดไว้เป็นแบบญี่ปุ่น คือ เรียกเป็นเสื่อ (ทาทามิ - 畳) ห้องขนาด 6 เสื่อหมายถึงห้องขนาด 10 ตารางเมตร
■ เว็บไซต์หาห้องเช่าแนะนำ
สมารถดูรายละเอียดได้ในเว็บนี้เลย 8 เว็บไซต์หาห้องเช่าแนะนำhttps://matcha-jp.com/th/9844
สมารถดูรายละเอียดได้ในเว็บนี้เลย 8 เว็บไซต์หาห้องเช่าแนะนำhttps://matcha-jp.com/th/9844
อ้างอิงเพิ่มเติม :https://www.tsunagulocal.com/th/508/